ประวัติความเป็นมา
1.ที่มาและการก่อเกิดภูมิปัญญา
ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู
จังหวัดสตูลอยู่ห่างจากตัวอำเภอละงูประมาณ 111 กิโลเมตร
เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวมุสลิมและประมงเป็นอาชีพหลัก โดยมีวิถีชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ
ในปี พ.ศ.2525
ได้มีการสำรวจพันธุ์เต่าน้ำจืดในเขตอำเภอละงู
ปัจจุบันเต่าชนิดนี้มีปริมาณลดน้อยสงใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว
ดังนั้น นายวุฒิเลิศ ม่าเหล็ม
จึงได้คิดเลียนแบบเต่ากระอานด้วยกะลามะพร้าวขึ้นเพื่เป็นการอนุรักษ์เต่ากระอานให้ลูกหลานอนุรักษ์เป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป
ดังนั้นจึงเริ่มประกอบธุรกิจงานหัตกรรมในครัวเรือนขนาดเล็กกับภรรยา โดยออกแบบแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งระดับจังหวัด ระดับประเทศ ปลายปี 2545
ได้รับการสั่งซื้อเป็นจำนวนมากจากการแสดงสินค้าที่เมืองทองธานี ต่อมา
ประมาณกลางเดือนมกราคม ปี พ.ศ.2546 เริ่มหาคนงานเพิ่มจำนวน 10 คน
เพื่อเปิดตลาดต่างประเทศโดยการเดินทางไปเปิดตลาดด้วยตนเองที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย และได้รับการสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง นอจากนี้
ยังได้รับการสั่งซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกาเดือนละ ประมาณ 25000 บาท เมื่อมีตลาดกว้างขึ้นจึงเริ่มออกงานแสดงสินค้าที่เมืองทองธานีและกระทรวงพาณิชย์ สินค้าได้รับสนใจจากผู้ส่งออกเป็นจำนวนมาก
และได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทอัยรัตน์
จำกัด แต่เพียงผู้เดียวเป็นระยะเวลา 3 ปี หลังจากนั้นจึงรับสมัครคนงานเพิ่มขึ้นเป็น
120 คน มีการก่อสร้างอาคารโรงงานและจัดวื้อเครื่องมือเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น และกำลังขยายงานการผลิตส่วนประกอบที่ทำมาจากเรซิ่นของตัวเองโดยใช้วัตถุดิบจากนครนายกและมีการขยายตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศเยอรมัน
ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศอเมริกาใต้ ประเทศมาเลเซีย
และอื่นๆ อีกหลากหลายประเทศ
2.
จุดเริ่มต้น/แนวคิดของผลิตภัณฑ์
นายจำรูญ ตาเหยบ รองประธานกลุ่ม
กล่าวว่าเหตุผลที่ทำผลิตภัณฑ์เนื่องจากกระดองเต่ากับผิวกะลามะพร้าวมีลักษณะคล้ายกัน
วิธีการทำจะใช้มือทั้งหมด โดยใช้คอนทุบและใช่วงล้อยางใหญ่กั้น
เพื่อไม่ให้กะลามะพร้าวกระเด็นไปไกล สามารถเก็บทุกชันส่วนกะลาประกอบกันได้ครบ หลังจากนั้นพาณิชย์จังหวัดเข้ามาดูงานและให้คำแนะนำว่าจะใช้เครื่องมือในการตัดกะลามะพร้าวและใช้เครื่องมือขัดกะลามะพร้าวประกอบด้วย
นายวุฒิเลิศม่าเหล็ม กล่าวว่า
แม้การผลิตเต่าแต่ละตัวต้องใช้เวลาในการทำ ต้องใช้ความประณีต ความอดทน
แต่สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน
ทำให้ชุมชนมีความเข็มแข็งทำให้เยาวชนรุ่นหลังได้เห็นเต่าที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
ซึ่งได้มาจากแนวคิดของชาวบ้านทำให้หมู่บ้านมีชื่อเสียง
จึงอยากให้สินค้าเป็นสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์หมู่บ้านในเรื่องการท่องเที่ยว
นายอรุณ
เอ็นดู ให้แนวคิดว่าเต่าเป็นจุดขายที่ดีเพราะว่ามีการเชื่อมโยง
และผสมผสานธรรมชาติเข้าด้วยกันกับการท่องเที่ยว เช่น ที่เกาะตะรุเตา เกาะไข่ ฯลฯ
นอกจากนั้นทางกลุ่มยังมีกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตได้พัฒนาอาชีพชาวบ้านปากบาราโดยมีการลงหุ้น
ๆ ละ 10 บาท มีการรับฝาก/ออมเงินของสมาชิกทุกเดือนและกลุ่มยังมีผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งนอกเหนือจากเต่ากระอานจากกะลามะพร้าวคือ
โคมไฟปลาปักเป้าซึ่งทำมาจากปลาปักเป้าที่ตายแล้วทำโดยการนำเอาเนื้อออกใช้เฉพาะหนังของปลาปักเป้ามาผลิตเป็นโคมไฟปลาปักเป้า
3.
การสั่งสม/สืบสานผลิตภัณฑ์ มีการผลิตเต่า จำนวน 3 ชนิด คือ
1. เต่าหลังตุง หรือเต่ากะลาปากอส
มีอยู่ในทะเลอันดามากัสกาแถบมหาสมุทรแปซิฟิก
2. เต่ากระ มีที่ทะเลปากน้ำ จังหวัดสตูล
3. เต่ากระอาน มีแห่งเดียวในเอเชีย คือ
ในคลองโกตาที่อำเภอละงู ปัจจุบันไม่ได้ชุกชุมเหมือนในอดีต ชาวประมงพื้นบ้านจึงได้มีการเพาะพันธุ์และปล่อยลงในคลอง
เป็นประจำ
4. การเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม
วิถีชีวิตในสมัยก่อน
ชาวบ้านจะมีความผูกพันกับธรรมชาติ
โดยมีพื้นที่ป่าชายเลน/ป่าโกงกางเป็นที่อนุรักษ์เพาะพันธุ์สัตว์น้ำ
และเป็นแหล่งสะสมอาหารอย่างดีของสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปลา และสัตว์น้ำต่างๆโดยเฉพาะ
เต่า จะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ
ควบคู่ไปกับวิถีชีวิตประชาชนอำเภอละงูได้อย่างผสมผสานกลมกลืนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
5.
ตำนานผลิตภัณฑ์ปรากฏร่องรอยหลักฐานที่อ้างอิงถึงโบราณ ศิลปวัตถุ ชื่อบ้าน นามเมือง
นิทานพื้นบ้าน
ปัจจุบันทางอำเภอละงู
ได้จัดสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดสตูล ซึ่งในอดีตประมาณ 20 ปี
มาแล้วบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งอาศัยและแหล่งวางไข่ของเต่ากระอาน และเต่าลายตีนเป็ด
ซึ่งเต่าทั้งสองชนิดนี้ มีชุกชุมมากในคลองละงู จังหวัดสตูล
เนื่องจากคลองละงูเป็นคลองที่มีอาหารและธรรมชาติสมบูรณ์ มีต้นกระเดื่อเกือบตลอดสายลำคลอง
ซึ่งผลของมะเดื่อเป็นอาหารชั้นยอดของเต่า
โดยเต่าจะขึ้นมาวางไข่ทุกปีบริเวณชายหาดทราย ซึ่งชาวบ้านเรียกหาดนี้ว่า “หาดทอนดูกัง”
6.
ผลิตภัณฑ์สะท้อนภูมิปัญญาในด้านการทำด้วยมือ
ปัจจุบันนี้เต่าเริ่มสูญพันธุ์เป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวบ้านเริ่มคิดค้นที่จะประดิษฐ์เต่าจึงได้ความคิดว่า
ให้ใช้กะลามะพร้าวมาจำลองเป็นเต่า เพราะผิวกะลามะพร้าวเหมือนกับเต่า
ชาวบ้านจึงเลือกที่จะนำวัสดุกะลามะพร้าวมาทำผลิตภัณฑ์เต่า ควบคู่กับปลาปักเป้า
ในการผลิตเต่าแต่ละตัวต้องใช้เวลา ใช้ความประณีต และความอดทนในการผลิต
เต่ากะลามะพร้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน
มีการสืบทอดให้เยาวชนรุ่นหลังได้เห็นเต่าที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
ทำให้หมู่บ้านมีชื่อเสียง เพราะนอกจากมีเต่าให้นักท่องเที่ยวได้ชมแล้ว
ก็ยังมีของที่ระลึกที่เป็นเต่าจำลอง จากฝีมือชาวบ้าน เป็นของฝากได้อีกด้วย
7. การเชื่อมโยง เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต
และวัฒนธรรมของชุมชน
วิถีชีวิตของประชาชน ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู
จังหวัดสตูล มีการประกอบอาชีพด้านการประมง
และมีวัฒนธรรมของชุมชนที่มีการสืบทอดต่อๆกันมา มีการคิดค้นอาชีพเสริมขึ้นมาทดแทน
เพื่อเป็นการอนุรักษ์เต่าที่กำลังจะสูญพันธุ์ โดยมีแนวทางอนุรักษ์เต่าดังนี้
1. ไม่กินเนื้อและไข่เต่า
2. รักษาระบบนิเวศให้สมดุล
3.
ไม่ทำการประมงด้วยเครื่องมือที่ผิดกฎหมาย
4. ไม่นำกระดองเต่ามาเป็นเครื่องประดับ
5.
ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของเต่าน้ำจืดและช่วยอนุรักษ์ไว้มิให้สูญพันธ์
6.
เต่ากระอานเป็นสัตว์คุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
และอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น